แอร์เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยเพิ่มความเย็นสบายให้กับบ้าน การเลือกแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเลือกแอร์ที่มี BTU ไม่เหมาะสมกับขนาดห้อง อาจทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไป เปลืองพลังงาน และทำให้ค่าไฟสูงขึ้นได้
เราจะมาทำความรู้จักกับ BTU ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรในการเลือกแอร์ และวิธีการเลือกแอร์ BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง พร้อมทั้งแนะนำเทคนิคการเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ
BTU คืออะไร
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit เป็นหน่วยวัดปริมาณความร้อนที่ใช้ในการทำความเย็น 1 BTU เท่ากับปริมาณความร้อนที่ต้องใช้ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮต์
แอร์จะใช้ BTU เป็นตัววัดความสามารถในการทำความเย็น โดยแอร์ที่มี BTU สูงจะมีความสามารถในการทำความเย็นได้สูง ในส่วนแอร์ที่มี BTU ต่ำก็จะมีประสิทธิภาพทำความเย็นลดลง
การเลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง
การเลือกแอร์ BTU ให้เหมาะกับขนาดห้องจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประหยัดไฟได้อีกทาง โดยตามหลักการทั่วไปแล้วการเลือก BTU สามารถคำนวณได้จากสูตร
BTU = พื้นที่ห้อง x Cooling load
พื้นที่ห้อง หมายถึง พื้นที่ของห้องที่ต้องการติดตั้งแอร์ กว้าง x ยาว
Cooling load หมายถึง ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณความร้อนภายในห้อง เช่น ทิศทางแดด วัสดุที่ใช้ก่อสร้างห้อง จำนวนคนในห้อง เป็นต้นโดย Cooling load แต่ละห้องจะมีค่าต่างกัน ตัวอย่างง่ายๆ
- ห้องนั่งเล่น Cooling load เท่ากับ 750-850 BTU ต่อตารางเมตร
- ห้องนอน Cooling load เท่ากับ 700-750 BTU ต่อตารางเมตร
- ห้องทำงาน Cooling load เท่ากับ 800-900 BTU ต่อตารางเมตร
- ห้องครัว Cooling load เท่ากับ 900-1,000 BTU ต่อตารางเมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก www.daikin.co.th
ตัวอย่างการคำนวณขนาด BTU ห้องนอนขนาด 3 x 4 เมตร = 12 ตารางเมตร
ค่า Cooling load = 700-750 BTU ต่อตารางเมตร
BTU = 12 x 700 = 8,400
ดังนั้น แอร์ที่เหมาะสมกับห้องนอนขนาด 3 x 4 เมตร ควรมีขนาด 8,400 BTU หรือประมาณ 9,000 BTU
ตารางคำนวณ BTU ตามขนาดห้อง
ปัจจัยการเลือกขนาด BTU
นอกจากขนาดห้องแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกขนาด BTU ของแอร์เช่น
- ทิศทางแสงแดด ห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ จะได้รับแสงแดดโดยตรงทำให้ห้องมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงควรเลือกแอร์ที่มี BTU สูงกว่าห้องที่หันหน้าไปทางทิศอื่นๆ
- วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง ห้องที่มีผนังหรือหลังคาเป็นวัสดุที่ดูดซับความร้อนได้ดี เช่น อิฐ ปูน ไม้ คอนกรีต ควรเลือกแอร์ที่มี BTU สูงกว่าห้องที่มีผนังหรือหลังคาเป็นวัสดุที่สะท้อนความร้อนได้ดี เช่น กระจก สแตนเลส อะลูมิเนียม
- จำนวนคนในห้อง ห้องที่มีจำนวนคนเยอะ จะทำให้มีความร้อนจากร่างกายของคนมากขึ้น จึงควรเลือกแอร์ที่มี BTU สูงกว่าห้องที่มีจำนวนคนน้อย
เทคนิคการเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ
- ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมในการเปิดแอร์คือ 25-27 องศาเซลเซียส การตั้งอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะทำให้แอร์ทำงานหนักมากขึ้น เปลืองพลังงาน และทำให้ค่าไฟสูงขึ้น
- ปิดแอร์เมื่อออกจากห้อง การเปิดแอร์ทิ้งไว้ทั้งวัน แม้จะตั้งอุณหภูมิต่ำ ก็จะทำให้เปลืองพลังงานเช่นกัน ดังนั้น ควรปิดแอร์เมื่อออกจากห้อง
- การล้างแอร์เป็นประจำจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และยืดอายุการใช้งานของแอร์
การเลือกแอร์ BTU ให้เหมาะกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประหยัดพลังงานและค่าไฟได้ โดยสามารถคำนวณ BTU ได้เองตามสูตรข้างต้น หรือสอบถามข้อมูล BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้องจากร้านค้าที่จำหน่ายแอร์ได้ นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามเทคนิคการเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ จะช่วยให้ประหยัดพลังงานและค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น